Cheongsamology

  • Home
  • Shop
  • Contact
  • Blog
  • No products in cart.
  • Home
  • Blog
  • Blog
  • ภูษาอาภรณ์จีน-ญี่ปุ่นโบราณ: ศิลปะบนผืนผ้าแห่งอดีต

ภูษาอาภรณ์จีน-ญี่ปุ่นโบราณ: ศิลปะบนผืนผ้าแห่งอดีต

by Cheongsamology / วันอาทิตย์, 03 สิงหาคม 2025 / Published in Blog

เครื่องแต่งกายโบราณของจีนและญี่ปุ่นเป็นดั่งผืนผ้าใบที่บอกเล่าเรื่องราวของอารยธรรม ความเชื่อ ปรัชญา และสุนทรียภาพที่หล่อหลอมสังคมมานานนับพันปี จากเส้นทางสายไหมที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมของโลกตะวันออก สู่การปรับประยุกต์และสร้างสรรค์เอกลักษณ์เฉพาะตน เครื่องแต่งกายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการทางสังคม การเมือง และศิลปะอันวิจิตรบรรจง การทำความเข้าใจในรายละเอียดของเครื่องแต่งกายไม่เพียงแต่เป็นการเรียนรู้ประวัติศาสตร์แฟชั่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการดำดิ่งสู่แก่นแท้ของจิตวิญญาณของผู้คนในยุคสมัยนั้นๆ ที่สืบทอดมายังปัจจุบัน

1. รากฐานและอิทธิพลร่วม: ต้นกำเนิดที่เชื่อมโยงกัน

อารยธรรมจีนเป็นดั่งแหล่งกำเนิดและศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่ส่งอิทธิพลอย่างมหาศาลต่อประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะญี่ปุ่น ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนและรับเอาวิทยาการ ความรู้ และศิลปะแขนงต่างๆ จากจีนมาปรับใช้ตั้งแต่ยุคโบราณ การแต่งกายก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยเฉพาะในยุคราชวงศ์ถังของจีน ซึ่งถือเป็นยุคทองของความรุ่งเรืองและเปิดกว้างทางวัฒนธรรม ได้ส่งอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อญี่ปุ่นในยุคนาราและเฮอัน เครื่องแต่งกายของทั้งสองชาติจึงมีรากฐานที่คล้ายคลึงกันในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เสื้อคลุมแบบห่อตัว (wrap-around robe) แขนเสื้อที่กว้าง และการใช้ผ้าแพรไหม อย่างไรก็ตาม ด้วยภูมิประเทศ สภาพอากาศ และแนวคิดทางปรัชญาที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เครื่องแต่งกายของแต่ละชาติพัฒนาไปในทิศทางที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ

2. เครื่องแต่งกายจีนโบราณ: ความงามที่สะท้อนราชวงศ์และปรัชญา

เครื่องแต่งกายจีนโบราณมีความหลากหลายอย่างยิ่งตามยุคสมัยและราชวงศ์ สะท้อนถึงสถานะทางสังคม ปรัชญา และค่านิยมของแต่ละช่วงเวลาได้อย่างชัดเจน

  • ราชวงศ์ฮั่น (206 ปีก่อนค.ศ. – ค.ศ. 220): เครื่องแต่งกายที่โดดเด่นคือ "เสิ่นอี" (Shenyi – 深衣) ซึ่งเป็นเสื้อคลุมยาวแบบชิ้นเดียวที่ห่อหุ้มร่างกายทั้งหมด แขนเสื้อกว้าง ตัวเสื้อยาวจรดข้อเท้า เน้นความเรียบง่าย สง่างาม และสมถะ สะท้อนค่านิยมขงจื๊อในเรื่องความถูกต้องและจริยธรรม สีที่ใช้มักเป็นสีสุภาพ แสดงถึงความสงบและมั่นคง
  • ราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 – 907): เป็นยุคที่เครื่องแต่งกายมีความหรูหรา วิจิตร และหลากหลายที่สุด เสื้อผ้าสตรี "หรู่ฉวิน" (Ruqun – 襦裙) ซึ่งประกอบด้วยเสื้อตัวสั้น (ru) และกระโปรงยาวผูกเอวสูง (qun) ได้รับความนิยมอย่างมาก มักมีคอกว้างเผยให้เห็นไหล่และหน้าอกเล็กน้อย แขนเสื้อกว้างขวาง และมีการปักลวดลายดอกไม้ที่งดงาม สีสันสดใส ฉูดฉาด สะท้อนความเปิดกว้างและมั่งคั่งของราชวงศ์นี้ เสื้อผ้าบุรุษมักเป็นเสื้อคลุมยาว มีลวดลายที่แสดงถึงยศศักดิ์
  • ราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960 – 1279): เครื่องแต่งกายกลับไปเน้นความเรียบง่าย สง่างาม และโปร่งสบายมากขึ้น เสื้อผ้ามีโครงสร้างที่กระชับขึ้น ไม่ฟุ่มเฟือยเหมือนยุคถัง แต่ยังคงความประณีต มีการใช้ผ้าไหมและผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด เน้นการตัดเย็บที่พิถีพิถัน แสดงออกถึงสุนทรียะแบบเซนและความสมถะ
  • ราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368 – 1644): ฟื้นฟูวัฒนธรรมและเครื่องแต่งกายแบบจีนฮั่นดั้งเดิม เสื้อคลุมยาวแขนกว้างที่เรียกว่า "เหย่าหลิงโหย่วเหริน" (Jiaoling Youren – 交领右衽) หรือ "ผาวฝู" (Paofu – 袍服) กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง เสื้อผ้าของชนชั้นสูงมักประดับด้วยลวดลายมังกร หงส์ หรือลายเมฆที่ปักอย่างประณีต แสดงถึงอำนาจและศักดิ์ศรี
  • ราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644 – 1912): เป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ปกครองโดยชาวแมนจู เครื่องแต่งกายจึงได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมแมนจูอย่างมาก เสื้อคลุมยาวทรงตรงแบบ "ฉางผาว" (Changpao – 长袍) สำหรับบุรุษ และ "ฉีผาว" (Qipao – 旗袍) สำหรับสตรี ซึ่งเป็นต้นแบบของชุดกี่เพ้าในปัจจุบัน ได้รับความนิยม ลักษณะเด่นคือปกเสื้อตั้งสูง กระดุมจีน และชายเสื้อผ่าข้าง การศึกษาประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของชุดฉีผาวนี้ สามารถพบข้อมูลเชิงลึกได้ที่ Cheongsamology.com ซึ่งรวบรวมความรู้เกี่ยวกับกี่เพ้าไว้อย่างละเอียด

ตารางสรุปเอกลักษณ์เครื่องแต่งกายจีนในแต่ละราชวงศ์

ราชวงศ์ ช่วงเวลา (ประมาณ) ลักษณะเด่น ตัวอย่างเครื่องแต่งกาย วัสดุ/สีที่นิยม
ฮั่น 206 ปีก่อนค.ศ. – ค.ศ. 220 เรียบง่าย สง่างาม ไม่หวือหวา เสิ่นอี (深衣) ผ้าไหม ผ้าฝ้าย สีสุภาพ
ถัง ค.ศ. 618 – 907 หรูหรา วิจิตร หลากหลาย เปิดเผย หรู่ฉวิน (襦裙) ผ้าไหม สีสดใส ลวดลายดอกไม้
ซ่ง ค.ศ. 960 – 1279 เรียบง่าย โปร่งสบาย กระชับ เสื้อคลุมบางเบา ผ้าไหม ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด
หมิง ค.ศ. 1368 – 1644 ฟื้นฟูแบบฮั่นดั้งเดิม ประณีต ผาวฝู (袍服) ผ้าไหม ลายมังกร หงส์
ชิง ค.ศ. 1644 – 1912 อิทธิพลแมนจู ทรงตรง ปกสูง ฉีผาว (旗袍), ฉางผาว (长袍) ผ้าไหม ผ้าต่วน ลวดลายประณีต

3. เครื่องแต่งกายญี่ปุ่นโบราณ: สุนทรียภาพแห่งความเรียบง่ายและธรรมชาติ

แม้จะได้รับอิทธิพลจากจีน แต่เครื่องแต่งกายญี่ปุ่นก็พัฒนาเอกลักษณ์ของตนเองอย่างโดดเด่น โดยเน้นที่ความงามตามธรรมชาติ ความเรียบง่าย การซ้อนชั้น และการแสดงออกถึงฤดูกาล

  • ยุคนารา (ค.ศ. 710 – 794): ในช่วงแรก ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากราชวงศ์ถังของจีนอย่างมาก ทั้งการปกครอง วัฒนธรรม และการแต่งกาย เสื้อผ้าในราชสำนักมักเป็นแบบเดียวกับของจีน เช่น "โกฟุกุ" (Gofuku) ที่ถอดแบบมาจากชุดจีนในยุคนั้น
  • ยุคเฮอัน (ค.ศ. 794 – 1185): เป็นยุคที่ญี่ปุ่นเริ่มสร้างสรรค์เอกลักษณ์ของตนเองอย่างชัดเจน โดยเฉพาะ "จูนิฮิโตเอะ" (Jūnihitoe – 十二単) หรือชุดสิบสองชั้น สำหรับสตรีสูงศักดิ์ในราชสำนัก เป็นชุดที่ซับซ้อน ประกอบด้วยเสื้อผ้าหลายชั้น (บางครั้งมากถึง 20 ชั้น) ที่ซ้อนทับกันอย่างวิจิตรบรรจง การเลือกสีสันของแต่ละชั้น (Kasane no irome) มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสื่อถึงอารมณ์ ฤดูกาล หรือยศศักดิ์ ส่วนบุรุษนิยม "โซกุไท" (Sokutai – 束帯) ซึ่งเป็นเสื้อคลุมยาวหลายชั้นเช่นกัน แต่มีโครงสร้างที่เน้นความสง่างามและเป็นทางการ
  • ยุคคามาคุระและมูโรมาจิ (ค.ศ. 1185 – 1573): เมื่ออำนาจย้ายมาอยู่ที่ชนชั้นนักรบ (ซามูไร) เครื่องแต่งกายจึงมีความเรียบง่ายและใช้งานได้จริงมากขึ้น "คิกุโสะเดะ" (Kosode – 小袖) ซึ่งเป็นเสื้อคลุมแขนสั้นกว่าและมีความคล่องตัวกว่า เริ่มเป็นที่นิยมและเป็นต้นแบบของกิโมโนในยุคต่อมา บุรุษนิยมชุด "ฮากามะ" (Hakama – 袴) กางเกงขาบานแบบจีบ และ "คาตางินุ" (Kataginu – 肩衣) เสื้อคลุมไหล่ที่ไม่มีแขน
  • ยุคเอโดะ (ค.ศ. 1603 – 1868): "กิโมโน" (Kimono – 着物) ได้รับการพัฒนาจนมีรูปแบบที่สมบูรณ์และเป็นที่รู้จักในปัจจุบัน ผ้ากิโมโนในยุคนี้มักถูกทอ ย้อม และปักลวดลายอย่างประณีต แสดงออกถึงศิลปะและสุนทรียะของญี่ปุ่น การผูก "โอบิ" (Obi – 帯) หรือเข็มขัดผ้าผืนยาว ก็พัฒนาไปในรูปแบบที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น

ตารางเปรียบเทียบชุดจูนิฮิโตเอะและกิโมโนในยุคเอโดะ

คุณสมบัติ จูนิฮิโตเอะ (ยุคเฮอัน) กิโมโน (ยุคเอโดะ)
ผู้สวมใส่ สตรีสูงศักดิ์ในราชสำนัก บุรุษและสตรีทุกชนชั้น
โครงสร้าง เสื้อคลุมหลายชั้นซ้อนทับกัน (12-20 ชั้น) แขนเสื้อกว้างยาวมาก เสื้อคลุมชิ้นเดียวแขนกว้าง ห่อตัว ผูกด้วยโอบิ
จุดเน้น การไล่สีของแต่ละชั้น (Kasane no irome) ความสง่างาม ลวดลายบนผ้า การย้อม สีสันของโอบิ
โอกาส พิธีการสำคัญในราชสำนัก ชีวิตประจำวัน งานเทศกาล และพิธีการต่างๆ
ความคล่องตัว เคลื่อนไหวค่อนข้างลำบาก คล่องตัวกว่า แต่ยังคงความสง่างาม

4. การเปรียบเทียบและความแตกต่างที่โดดเด่น

แม้จะมีรากฐานร่วมกัน แต่เครื่องแต่งกายจีนและญี่ปุ่นก็มีวิวัฒนาการที่นำไปสู่เอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

  • ปรัชญาการออกแบบ:

    • จีน: มักเน้นความยิ่งใหญ่ สง่างาม อำนาจ และการแสดงออกถึงสถานะทางสังคมอย่างชัดเจนผ่านลวดลายและสีสันที่โดดเด่น เช่น ลายมังกร หงส์ หรือลายเมฆ แสดงถึงจักรพรรดิหรือความมั่งคั่ง
    • ญี่ปุ่น: เน้นความงามที่ซ่อนเร้น ความกลมกลืนกับธรรมชาติ ความประณีตในรายละเอียด และสุนทรียะแห่งความเรียบง่าย (Wabi-Sabi) การใช้สีมักละเอียดอ่อนและสื่อถึงฤดูกาล
  • โครงสร้างและการตัดเย็บ:

    • จีน: เสื้อคลุมมักตัดเย็บให้มีรูปทรงที่หรูหรา ซับซ้อนในบางยุคสมัย (เช่น ถัง) หรือเน้นความสมมาตรและเส้นสายที่ชัดเจน (เช่น หมิง) การปิดคอและกระดุมจีนเป็นเอกลักษณ์สำคัญ
    • ญี่ปุ่น: โดยเฉพาะกิโมโน มักใช้ผ้าผืนสี่เหลี่ยมผืนผ้าหลายชิ้นมาเย็บต่อกันเป็นรูปทรงตัว T โดยมีการตัดเย็บน้อยที่สุดเพื่อให้คงสภาพของผืนผ้าไว้มากที่สุด การห่อตัวและการผูกโอบิเป็นองค์ประกอบสำคัญ
  • การซ้อนทับและเลเยอร์:

    • จีน: มีการซ้อนทับเสื้อผ้าเช่นกัน แต่ไม่ซับซ้อนเท่าของญี่ปุ่นในยุคเฮอัน และมักเน้นที่ความหนาเพื่อความอบอุ่นหรือการเพิ่มวอลลุ่ม
    • ญี่ปุ่น: จูนิฮิโตเอะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการซ้อนทับหลายชั้นอย่างมีศิลปะ โดยเน้นการเล่นสีและการสร้างภาพลวงตาจากช่องว่างระหว่างชั้น
  • อุปกรณ์ประกอบการแต่งกาย:

    • จีน: มักใช้เข็มขัดผ้าหรือหยก เครื่องประดับผมที่อลังการ และหมวกที่มีรูปทรงเฉพาะ
    • ญี่ปุ่น: โอบิ (เข็มขัดผ้า) เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของกิโมโน ซึ่งมีรูปแบบการผูกที่หลากหลายและวิจิตรงดงาม นอกจากนี้ยังมีรองเท้าไม้เกี๊ยะ (Geta) และถุงเท้า (Tabi)

ตารางเปรียบเทียบเครื่องแต่งกายจีนและญี่ปุ่น

คุณสมบัติ จีน (ภาพรวม) ญี่ปุ่น (ภาพรวม)
ปรัชญา อำนาจ, ยิ่งใหญ่, ชนชั้น, ความมั่งคั่ง ธรรมชาติ, สงบ, สุนทรีย์, ซ่อนเร้น
รูปแบบ หลากหลายตามราชวงศ์, ตัดเย็บซับซ้อน โครงสร้างพื้นฐานแบบตัว T, เน้นการห่อตัว
ลวดลาย มังกร, หงส์, เมฆ, สัญลักษณ์มงคล ธรรมชาติ, ฤดูกาล, เรขาคณิต, นก, ดอกไม้
สีสัน สดใส, ฉูดฉาด, สื่อความหมายถึงยศ ละเอียดอ่อน, โทนธรรมชาติ, สื่อถึงฤดูกาล
อุปกรณ์ หมวก, เครื่องประดับผม, เข็มขัดหยก/ผ้า โอบิ, เกี๊ยะ, ทาบิ (ถุงเท้า)
พัฒนาการ เปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนราชวงศ์ เริ่มจากเลียนแบบจีน สู่การสร้างเอกลักษณ์ตนเอง

เครื่องแต่งกายโบราณของจีนและญี่ปุ่นเป็นมากกว่าเพียงแค่เสื้อผ้าที่ปกคลุมร่างกาย แต่เป็นหน้าต่างที่เปิดให้เราได้มองเห็นถึงจิตวิญญาณของอารยธรรม ความงดงามที่เกิดจากเส้นไหม การปักประดับ และการตัดเย็บที่บรรจงเล่าเรื่องราวของประวัติศาสตร์ สุนทรียภาพ และค่านิยมของผู้คนในอดีต แม้จะมีจุดเริ่มต้นจากรากฐานที่คล้ายคลึงกัน แต่อิทธิพลของภูมิประเทศ ปรัชญา และวิถีชีวิตก็หล่อหลอมให้ทั้งสองวัฒนธรรมพัฒนาเครื่องแต่งกายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นและเป็นที่จดจำ การศึกษาเครื่องแต่งกายเหล่านี้จึงเป็นการเดินทางอันน่าทึ่งสู่โลกแห่งศิลปะ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาของสองชาติมหาอำนาจแห่งเอเชียที่ยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้กับโลกปัจจุบัน.

What you can read next

เนรมิตผ้าปูที่นอนเป็นกิโมโนสไตล์ญี่ปุ่นด้วยตัวคุณเอง
ที่มาของชุดกี่เพ้า: ประวัติศาสตร์แฟชั่นชุดจีน
ชุดกี่เพ้า: เผยทุกมิติโครงสร้างที่ซ่อนเร้น เหนือรอยผ่าอันเป็นเอกลักษณ์

Support

  • My Account
  • Contact Us
  • Privacy Policy
  • Refund & Return Policy
  • Shipping Policy

Knowledge

  • Cheongsam Buying Guide
  • Evolution of Cheongsamology
  • Structure of Cheongsam
  • Cheongsam on the Silver Screen
  • Cheongsam vs. Hanfu

Get in Touch

Email: [email protected]

SMS: +1 (413)4387891

  • GET SOCIAL

© 2025 Cheongsamology. All Rights Reserved.

TOP